เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
คนเรา เห็นไหม เกิดมานี่ตั้งใจดีทุกคนแหละ ยิ่งเข้ามาศึกษาในศาสนาจะตั้งใจดีมากเลย ถ้าตั้งใจดีนี่มันดีของกิเลสไม่ใช่ดีของเรา ทั้งๆ ที่เราศึกษาศาสนานี่นะ ตั้งใจดีมากเลย แต่ตั้งใจดีมาก เวลาปฏิบัติทำไมมันไม่ได้ผลล่ะ? ถ้ามันไม่ได้ผลขึ้นมานี่เพราะเราเชื่อเราไม่ได้ เพราะเราเกิดมาจากกิเลสไง เราเชื่อเราไม่ได้หรอก กิเลสเราเต็มหัว เวลาปฏิบัติไป ธรรมะนี่เป็นธรรมะของกิเลส มันเป็นโลกียปัญญา มันวิปัสสนึก มันเป็นสภาวะของกิเลส
ถ้ามันเป็นกิเลสขึ้นมาเพราะอะไร? เพราะธรรมชาติมันมีกิเลสอยู่แล้ว คนเกิดมามันมีกิเลสอยู่แล้ว แล้วบอกว่าศึกษาธรรม นี่ศรัทธามากๆ ศรัทธามากมันก็วนอยู่ในโลกียปัญญา วังวนอยู่ในวิปัสสนึก วังวนอยู่ในความเห็นของมัน เห็นไหม นี่ถึงบอกว่าเวลาเรามองกันทางโลก เวลาเราเกิดมาเราทุกข์เรายาก เราบอกสิ่งที่เกิดมานี่ ปัจจัยเครื่องอาศัยทำไมเราไม่มีสมหน้าสมตาเขา ทำไมเราทุกข์เรายาก หาอยู่หากินนี่เป็นความทุกข์ยากมาก
ความทุกข์อันนี้ความทุกข์หาปัจจัยเครื่องอาศัยนะ ความทุกข์อย่างนี้โลกเป็นความทุกข์กัน แล้วพอทุกข์นี่มันขาดแคลน พอขาดแคลนก็วิ่งแสวงหา แสวงหาก็เรื่องวัตถุเป็นใหญ่ พอวัตถุเป็นใหญ่เราก็มองเลย นี่แก้ว แหวน เงิน ทองต่างๆ เป็นสิ่งที่ต้องแสวงหา แล้วไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นความรู้สึก.. ความรู้สึกนี้สำคัญมากนะ ถ้ามันเป็นความคิดที่ดี เป็นสิ่งที่ดี ออกมามันเป็นความดีทั้งหมดเลย
เพราะถ้าสิ่งที่ดี เห็นไหม ดูสิปัญญากับความดี ฉลาดกับดี นี่ถ้าฉลาด ฉลาดถ้ามันโกงนะ ฉลาดมันก็เอาเขาหมดเลย แต่ถ้ามันดีด้วยนะ ยิ่งฉลาดจะเป็นประโยชน์มากเลย แต่ถ้ามันโง่แล้วดีล่ะ? นี่ความดีคือความดีนะ ความซื่อ คนซื่อไม่ทันคน ถ้าคนซื่อนะ คนซื่อคนดี ดีกับซื่อ ถ้าซื่อไม่มีปัญญาเลย ซื่อมันก็ซื่อบื้อ ซื่อบื้อมันน่ารำคาญ น่ารำคาญนะ
ถ้าคนว่าเป็นความดี ความดีไม่มีปัญญาก็ไม่ได้ ความซื่อบื้อมันเอาตัวรอดไม่ได้หรอก มันก็เป็นแบบคนซื่อ ซื่อจนถ้าเป็นทางโลกเขาว่าเป็นคนโง่ แต่ถ้ามีปัญญานะ ดูสิความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า ความนิ่งอยู่ของพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี ความนิ่งอยู่ เห็นไหม นี่นิ่งอย่างนั้นซื่อบื้อไหม? รู้ทันนะแต่ไม่พูด พูดออกไปไม่เป็นประโยชน์หรอก เพราะไอ้คนพูดมันไม่รู้เรื่องหรอกว่าในใจมันคิดอะไรอยู่ กิเลสมันอยู่ในตัวเขา ความร้อนนี่เอาถ่านไว้บนหัวเดินมาเลย ยังไม่รู้ว่าบนหัวตัวเองนั้นมีถ่านเผาหัวอยู่ แล้วก็พูดออกไป แสดงออกไป นี่แล้วถ้าผู้ที่เขานิ่งอยู่ พระอริยเจ้าเขานิ่งเขาเห็นหมดนะ เห็นแล้วเขาพูดออกไปมันเป็นประโยชน์ไหมล่ะ? มันเป็นคตินะ
หลวงปู่มั่นท่านอยู่บนถ้ำสาริกา กำหนดจิตมาดู เห็นหลวงตาคิดถึงแต่งงานใหม่กับภรรยาคนเก่า คือคิดถึงอดีตภรรยา เห็นไหม นี่แต่งงานแล้วแต่งงานอีก คิดถึงการสร้างครอบครัวไง สุดท้ายแล้วเช้าลง เพื่อประโยชน์กับเขานี่ว่า
เป็นอย่างไร? แต่งงานใหม่กับครอบครัวเก่าทั้งคืนเลย เมื่อคืนไม่ได้นอนเป็นอย่างไร?
นี่ไปเตือนสตินะ ไอ้คนได้ฟังมันตกอกตกใจ ตั้งแต่นั้นมาหนีไปเลย นี่แทนที่มันจะได้ประโยชน์กับไม่ได้ประโยชน์ การนิ่งอยู่ นิ่งอยู่เพราะพูดไปมันไร้สาระ ไอ้คนฟังไม่รู้เรื่อง แล้วเราแสดงออกไป เราไปเตือนเขามันกลับไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย แต่ถ้ามันเป็นประโยชน์ขึ้นมามันต้องแสดงธรรม
นี่สิ่งที่แสดงธรรม พอแสดงธรรมขึ้นมากิเลสมันว่าไม่ได้ว่าเรา ไม่ได้ว่าเรา ว่าคนอื่นหมดเลย มันไม่รู้ตัว ก็ไฟบนหัวนี่มันไฟบนหัวของใคร? แล้วไม่ใช่ไฟบนหัวของเรา ไม่ใช่ไฟบนหัวของเรา ไม่อยู่กับเรามันร้อนทำไม?
นี่ก็เหมือนกัน เราคิดสิ่งที่ไม่ดี เราคิดแต่สิ่งที่มันเป็นกิเลสออกมาในหัวใจ แล้วมันบอกไม่ใช่ว่าเรา กิเลสมันผลักไส เห็นไหม นี่สิ่งที่เป็นนามธรรมสำคัญกว่ารูปธรรม ถ้าสิ่งที่เป็นนามธรรมนะ นี่สิ่งที่เป็นนามธรรม ถ้าจิตมันคิดดี สิ่งที่ทำดีนะ มันจะทุกข์มันจะยาก ขาดแคลนบ้าง มันเจือจานกันนะเป็นธรรม เป็นธรรมสังคมมีความร่มเย็นเป็นสุขนะ
แต่ถ้าคนมันฉลาดแล้วมันโกง นี่ของมีมากขนาดไหนนะไม่พอใช้ ไม่พอจ่าย มีมากมันก็กักตุนมาก มีมากมันก็แสวงหามาก ไอ้คนอื่นจะทุกข์จะยากช่างหัวมัน เห็นไหม แต่คนที่มีคุณธรรมนี่ของมีน้อย ของมีน้อยแต่มันเจือจานกัน ของมีน้อยเราก็กินแต่น้อย น้อยเราก็ใช้แต่น้อย ถ้าน้อยแล้วเราใช้แต่น้อยนะ มันพอใจเพราะเป็นธรรม พอเป็นธรรมขึ้นมาสังคมมันไม่มีความขัดแย้ง สังคมจะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข
ทั้งๆ ที่ขาดแคลนนี่แหละ แต่เราไปดูกันแต่วัตถุ เห็นไหม โลกต้องเจริญ โลกต้องเจริญ มันเจริญวัตถุ มันเจริญแต่แท่งปูนน่ะ แท่งปูน แท่งต่างๆ ขึ้นไป สร้างขึ้นมาแล้วก็ต้องรักษามันนะ ต้องหางบประมาณมาบำรุงรักษา สิ่งต่างๆ รักษาไว้ทำไม? รักษาไว้ให้ตุ๊กแกมันอยู่ไง รักษาไว้แล้วมันก็หวงนะ คนจะเข้ามาต้องคิดค่าเซ้ง คนเข้ามาต้องคิดค่ามูลค่า แล้วใครจะเข้ามาล่ะ? ก็เพราะเขาไม่มีตังค์
ไอ้ที่รักษาไว้ๆ คือแท่งปูน รักษาไว้ไม่เป็นประโยชน์ไง แต่ถ้ามันเป็นประโยชน์นะ มันเป็นสิ่งที่มีคุณธรรมมันเป็นประโยชน์ไปหมด แล้วนี่สิ่งนี้มันเกิดมาจากไหนล่ะ? มันเกิดจากเราต้องเอาชนะตัวเราให้ได้ก่อน ถ้าเราไม่ชนะตัวเราเองก่อนนะ เราไม่ชนะกิเลสของเราก่อนเลยนะ เราให้กิเลสมันเหยียบย่ำอยู่นะ แล้วว่าไปประพฤติปฏิบัติธรรมนะ ปฏิบัติเอากิเลสไง
กิเลสมันอยากใหญ่ มันอยากนั่งอยู่บนหัวคน มันอยากให้คนยอมรับมัน เห็นไหม นี่มันอยากให้คนยอมรับ อยากให้ว่ามันเก่ง อยากให้มันดีนี่กลองจัญไร ไม่ต้องตีมันดังเอง แต่กลองที่เขาตีนี่มันต้องมีคนตีใช่ไหม? ถ้าคนไปตีมันมันถึงจะดังขึ้นมา นี่กลองที่มีคุณภาพคนเขาตี คือว่าเขาทุกข์ เขาร้อนขึ้นมาก็ต้องการขึ้นมา เหมือนหลวงตาท่านสอนเลย
คนที่เขานอนอยู่นะเราจะไปสอนเขาไม่ได้หรอก เขานอนหลับอยู่นี่ป้อนน้ำเข้าไปสำลักตายเลย
นี่ก็เหมือนกัน จะแสดงธรรม จะช่วยเหลือคนนู้น ช่วยเหลือคนนี้ เขาไม่ฟังหรอก เขาไม่ฟัง เพราะจิตใจคนนี่วุฒิภาวะมันไม่เหมือนกัน ถ้าจะช่วยเหลือฉันก็เอาแบงก์มาสิ เอาแบงก์มา สร้างบ้านสร้างเรือนให้ฉัน แล้วมันสร้างให้พออยู่ไหม? เอาแบงก์มามันใช้จ่าย เห็นไหม สอนให้เขาจับปลา ดีกว่าเอาปลาไปให้เขากิน ถ้าเอาปลาให้เขากิน ให้แบงก์เขาไป ให้ปลาเขาไป ถ้าเขาทำปลาเป็นขึ้นมา ปลาเอามากินก็เป็นประโยชน์ เขาทิ้งปลาจนเน่า เขาเอาปลาสร้อยไปล่อปลาใหญ่ เขาเอาปลาไปทำบาปของเขาก็ยังได้
นี่ก็เหมือนกัน เงินมันให้โทษก็ได้ มันให้คุณก็ได้ แต่ถ้ามันสอนวิธีจับ เขาได้ของเขามา เขาจับปลาของเขามา เขาเอามาดำรงชีวิตของเขา มันต้องลงทุนลงแรง เห็นไหม สติเขาต้องสร้างขึ้นมา ปัญญาต้องสร้างขึ้นมา ของทุกอย่างมันต้องลงทุน
เย ธัมมา เวลาพระอัสสชิบอกพระสารีบุตร เห็นไหม
ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ
นี่พระสารีบุตรวิ่งแสวงหามามหาศาลเลย พยายามประพฤติปฏิบัติมากับเจ้าลัทธิต่างๆ นี่คนตื่น.. คนตื่น คนต้องการ คนแสวงหา เห็นไหม นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่า ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ แล้วตัวเองพร้อมอยู่ พอพร้อมอยู่มันก็เข้าไปสะเทือนถึงหัวใจ นี่เป็นพระโสดาบันขึ้นมาเลย
นี่ก็เหมือนกัน การแสวงหา การหาปลา เราต้องลงทุนลงแรงใช่ไหม? นี่การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ปัจจัยเครื่องอาศัยเราเป็นสมณะ เราเป็นภิกษุ สิ่งที่เราได้มา บิณฑบาตมานี่เป็นบุญกุศลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางศาสนาไว้กับบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
อุบาสก อุบาสิกา เขาต้องทำมาหากินของเขา สิ่งที่เขาหามาแล้วเป็นประโยชน์กับเขา เขาได้เสียสละทานด้วย สละทานขึ้นมาเราภิกขาจาร เห็นไหม เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง สิ่งที่ได้มานี่ บริษัท ๔ มันทำให้ศาสนาเจริญรุ่งเรือง สิ่งที่เขาเสียสละมา เราลงทุนลงแรง เราออกบิณฑบาต ออกเลี้ยงชีพ เลี้ยงธาตุขันธ์ นี่ปัจจัยเครื่องอาศัย แล้วหัวใจล่ะ?
สิ่งนี้เขาเสียสละมานะ ปัจจัยเครื่องอาศัยนี่ญาติโยมเขาเสียสละมา แล้วเสียสละมาเพื่ออะไร? เพื่อบุญกุศลของเขา แล้วเราเอามาดำรงชีวิต เราเสียสละดำรงชีวิตของเรา สิ่งที่เขาเทิดทูนบูชานี่ แล้วเรามีอะไรเป็นสิ่งที่เขาเคารพนบนอบบ้าง เรามีสิ่งใดที่เราควบคุมใจของเราได้บ้าง คุณธรรมในหัวใจของเรา วุฒิภาวะในหัวใจของเรามันต้องเห็นคุณค่า คุณค่าสิ่งที่เราเสียสละนะ
เขาเสียสละมา เห็นไหม สิ่งนี้เขาเสียสละแล้ว จิตใจเขาสูงส่ง สูงส่งถึงเขาเสียสละ คนนี้เสียสละทาน เขามีศรัทธา เขามีความเชื่อ เขาต้องการบุญกุศลของเขา เขาถึงเสียสละสิ่งนั้นออกไปได้ แล้วสิ่งที่เราเสียสละไปแล้ว เราเอามาเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย เราอาศัยเพื่อดำรงชีวิต หรืออาศัยโดยกิเลส ถ้าอาศัยโดยกิเลสมันก็กักตุน มันก็ทำสิ่งที่แสวงหานี้เป็นประโยชน์กับเรา แต่ถ้าอาศัยเพื่อธรรม เห็นไหม สิ่งนี้ดำรงชีวิตเท่านั้นแหละ นี่หยอดน้ำมัน หยอดล้อเกวียนไม่ให้มีเสียงดังเท่านั้นเอง
การดำรงชีวิตเพื่ออะไร? ก็เพื่อแสวงหาสิ่งที่เป็นคุณธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรม.. สิ่งที่เป็นนามธรรมนี่เราเป็นนักรบนะ เราเป็นพระนะ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่เราไม่สามารถทรงได้เลย เราไม่สามารถเข้าใจสิ่งนี้ได้เลย แล้วเราจะเอาอะไรไปสอนเขา เราจะเอาอะไรไปบอกเขา นี่สิ่งที่เราไม่เข้าใจเราจะเอาอะไรไปบอกเขา สิ่งที่เราเข้าใจแล้วเขาถึงเสียสละขึ้นมา เพื่อจะให้เราได้ค้นคว้าขึ้นมา ให้เรารู้จริงขึ้นมา เพื่อเป็นที่พึ่งอาศัยของเขา ถ้าเป็นที่พึ่งอาศัยของเขามันเป็นประโยชน์ไหม? มันเป็นประโยชน์กับเรา
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนก่อน แล้วจะเป็นที่พึ่งของสังคมได้ สังคมนี่ โลกเขาเร่าร้อน เห็นไหม มันเป็นวัฏจักร เขาพยายามแสวงหาปัจจัยเครื่องอาศัย เขาต้องมีการแข่งขันขึ้นมา มันก็ต้องกระทบกระทั่ง มันก็ต้องเร่าร้อนเป็นธรรมดา ไอ้เราเป็นผู้ที่เสียสละแล้ว เราเสียสละออกมาจากโลก เรามาอยู่ในศีลในธรรม สิ่งนี้เรามีความร่มเย็นของหัวใจไหม? ถ้ามีความร่มเย็นของหัวใจ เราจะบอกเขาถึงความร่มเย็นอันนั้นได้ เขาจะผ่อนคลายสังคมได้ไง
ภิกษุผู้ที่มีคุณธรรมในหัวใจ ภิกษุที่เป็นครูบาอาจารย์มันเป็นที่พึ่งอาศัย เห็นไหม จิตใจมันมีที่พึ่งอาศัย มันมีหลักของมัน นี่ลูกศิษย์ลูกหาเขาก็มีอาจารย์ของเขาเป็นที่ผ่อนคลาย เป็นที่อาศัย เราทำสมาธิของเราขึ้นมา ถ้าจิตเราตั้งมั่นขึ้นมา เรามีเรือนหลังหนึ่งในหัวใจของเรา มีเรือน มีที่อาศัย เห็นไหม คูหาของใจ ใจมันมีที่หลบที่ซ่อน มันก็มีความสุขขึ้นมา
เราตากแดดตากฝนนะ เรากระเทือนกับความรู้สึก ความคิดของเรานี่โลกธรรม ๘ เห็นไหม โลกธรรม ๘ มันอยู่ที่ไหนล่ะ? โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศอยู่ข้างนอก แล้วมีลาภเสื่อมลาภอยู่ในหัวใจของเรา เพราะกิเลสมันจุดไฟเผาตัวเอง มันจุดไฟเผานะ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มันอยากได้ยศถาบรรดาศักดิ์ขึ้นมา มีลาภสักการะ ลาภก็ส่วนลาภ ยังมีสักการะจะให้เขาเคารพนบนอบขึ้นมานี่กิเลสมันเผาตน เห็นไหม
ถ้าเราทำสมาธิของเราขึ้นมาได้ สิ่งนี้มันจะสงบตัวลง ถ้าสิ่งนี้สงบตัวลง ใจมันมีที่พึ่งอาศัยหรือยัง? ใจมันมีบ้านมีเรือนหรือยัง? ถ้าใจมีบ้านมีเรือนมันก็สอนให้เขาปล่อยวาง สิ่งที่ปล่อยวาง ปล่อยวางแบบเรื่องโลกๆ ปล่อยวางแบบสิ่งที่มันเร่าร้อน ปล่อยวางสิ่งที่เผาลนในหัวใจ ปล่อยวางแล้วมันฆ่ากิเลสได้ไหม? ถ้ามันไม่ฆ่ากิเลสเพราะอะไร? เพราะปัญญามันยังไม่เกิด แล้วปัญญามันจะเกิดมันจะเกิดอย่างไร?
นี่ถ้าเราอาศัย เราอาศัยเข้ามาจากภายใน เราจะเห็นวิธีการของเรา เราสร้างสมของเราขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่เราสร้างสมขึ้นมา นี่สิ่งที่เป็นโลกธรรม ๘ ข้างนอก โลกธรรม ๘ ข้างใน ถ้าข้างในมันไม่มีโลกธรรม ๘ ข้างนอกมันก็สดใส เพราะสิ่งที่มันเกิดมันเกิดมาจากใจ ศีลธรรม วัฒนธรรมเกิดมาจากมนุษย์ เกิดมาจากการกระทำ
ดูสิเวลานักขัตฤกษ์เขาก็แกะเทียนกัน เขาทำสิ่งที่เป็นมหรสพสมโภช เขาเอามาจากไหนล่ะ? เขาเอามาจากวัฒนธรรมของเขา วัฒนธรรมของเขา เขาสร้างของเขาขึ้นมา วัฒนธรรมเกิดจากมนุษย์ทำ เกิดจากใจทำ นี่สิ่งที่ใจทำ แล้วใจมันสงบขึ้นมา แล้วมันเกิดมรรคญาณขึ้นมา มันเข้าไปชำระหัวใจอีกชั้นหนึ่ง เห็นไหม
ถ้าชำระหัวใจอีกชั้นหนึ่ง นี่โลกธรรมจากภายใน ถ้าโลกธรรมจากภายใน นี่ความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า ความนิ่งอยู่ของผู้รู้เท่า รู้เท่านะ แล้วพูดไปมันก็ต้องกระทบกระเทือนสังคม รู้แล้วยังพูดไม่ได้อีกนะ พูดออกไปมันจะเป็นประโยชน์มันกลับเป็นมีดสองคมไง นี่จะพูดออกไปเป็นประโยชน์มันกลับเป็นโทษ เป็นโทษกับเขานั่นแหละ เป็นโทษกับคนที่โดนสั่งสอน โดนพูดนั่นแหละ เพราะอะไร? เพราะมันสะเทือนกิเลส กิเลสมันครอบคลุมใจแล้ว มันยังว่ามันเผาลนมันแล้วนะ มันยังคิดว่าสิ่งนี้เป็นประโยชน์
นี่ไงเสื่อมลาภ เสื่อมจากธรรม เสื่อมจากธรรมะไปอยู่ในอำนาจของกิเลส อำนาจของพญามาร เห็นไหม นี่แล้วยังทิฐิมานะว่าสิ่งนั้นเป็นความสำคัญ สิ่งนั้นเป็นความถูกต้อง เป็นความถูกต้อง แล้วครูบาอาจารย์ท่านมาติเราทำไม? ท่านมาว่าเราทำไม?
นี่ไงถึงบอกว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเห็นความผิดของตน ถ้าตนเห็นความผิดของตน ตนจะแก้ไขตนได้ ถ้าตนไม่เห็นความผิดของตน เห็นไหม ดูสิคนนอนอยู่เราป้อนน้ำป้อนข้าว เขากินไม่ได้หรอก แต่ถ้าคนตื่นอยู่นี่ บอกเขาว่าสิ่งนี้เป็นประโยชน์เขาตักกินเองนะ เขาเห็นประโยชน์ของมัน เขาตักกินขึ้นมา สิ่งนี้เป็นประโยชน์กับร่างกาย สิ่งนี้เป็นคุณงามความดี
นี่ก็เหมือนกัน ศีลธรรม สิ่งที่เราแสวงหา เราต้องรักษาของเรา เราต้องแก้ไขของเรา เห็นไหม นี่โลกธรรม ๘ จากภายนอก โลกธรรม ๘ จากภายใน แล้วเรารักษาของเราขึ้นมา มันเป็นประโยชน์กับเรานะ ใจมันจะดีขึ้นมา ใจมันจะเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา
สิ่งที่ใจเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมานี่นามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรม ถ้ามันเอโก ธัมโม ใจเป็นหนึ่งเดียว ใจนี้เป็นธรรมทั้งหมด สิ่งที่เป็นธรรมทั้งหมดมันจะเป็นประโยชน์กับใครล่ะ? มันเป็นประโยชน์กับเราก่อนนะ มันเห็นเลยล่ะ เห็นสิ่งที่เร่าร้อนก็เห็น สลัดทิ้งก็เห็น สิ่งที่ร่มเย็นเป็นสุขก็เห็น แล้วร่มเย็นเป็นสุขมันเป็นประโยชน์กับเรามากหรือน้อย ถ้ามากหรือน้อย เห็นไหม เรารักษามันไป
เวลาผู้ที่มีคุณธรรมในหัวใจ เห็นไหม วิหารธรรม นี่เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเป็นวิหารธรรม โลกเป็นอย่างนี้นะ โลกเป็นอย่างนี้ ชีวิตเป็นอย่างนี้ เกิดตายทั้งหมด ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วมันไม่มีวันจบหรอก มันจะเกิดจะตายอย่างนี้ไป ชีวิตหนึ่งก็แสนทุกข์แสนยากแล้ว แล้วจะมีชีวิตที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ แล้วจิตดวงเดียวนี่แหละทำไมมี ๒ มี ๓ มี ๔ ล่ะ?
ก็มันเกิดซ้ำเกิดซ้อนไง เกิดแล้วเกิดเล่า ชีวิตหนึ่งหมดสิ้นไปก็ไปเกิดใหม่ ทั้งๆ ที่คิดว่ามันเป็นชีวิตใหม่ ไม่ใช่หรอก จิตดวงเดิมนั่นแหละ ไอ้ความทุกข์อันนี้มันก็ไปเกิดใหม่ เกิดใหม่ในสถานะใหม่ ไอ้สิ่งนี้เป็นอดีตไปแล้ว อดีต อนาคต แล้วในปัจจุบันนี้เรามีศรัทธา มีความเชื่อ ในปัจจุบันมีศรัทธา ความเชื่อ ทำไมในปัจจุบันเราไม่มีสติสัมปชัญญะขึ้นมายับยั้งมัน
สิ่งที่หยาบ สิ่งที่แสวงหา สิ่งที่เอามาทับถมใจมันเป็นของร้อน เรื่องโลกมันร้อนหมดนะ ถ้าเรื่องของธรรมนี่การเสียสละเป็นของเย็น การเสียสละ การให้เป็นของเย็น สิ่งที่เป็นทานนี่เป็นของเย็น ของเย็นเราเสียสละสิ เสียสละทั้งวัตถุ แล้วเสียสละอารมณ์ความรู้สึก.. ความคิดเนี่ย ความทิฐิมานะนี่เสียสละมันออกไป เปลี่ยนแปลงมัน ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงนะมันไม่ได้หรอก
ดูสิเวลาคฤหัสถ์ เห็นไหม บอกเราทำบุญกุศลนี่ตัดแต่งพันธุกรรม ตัดแต่งจิตใจ จิตได้เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของมัน ได้ตัดแต่ง ได้เสียสละ ได้ดัดแปลงจิตให้มันดีขึ้น แล้วเรานักปฏิบัติมันยังไม่ตัดแต่ง ทำไมไม่เปลี่ยนแปลง ทำไมไม่สละทิ้งซะ ไอ้ความเห็นผิด ไอ้ความสิ่งที่ซับซ้อน สิ่งที่เป็นนิสัย.. นี่ร่องน้ำ เห็นไหม ร่องน้ำที่น้ำมันไหลไปเรื่อย ร่องน้ำที่ไปเรื่อยๆ นี่ก็ทำซ้ำทำซาก ทำแต่สิ่งเดิมๆ อยู่นั่นแหละมันไม่ยอมเปลี่ยนแปลง
นี่เปลี่ยนแปลง ถ้าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ไหวคือข้อวัตรปฏิบัตินี่ไง อยู่กับข้อวัตร อยู่กับพุทโธนี่แหละ อยู่กับพุทโธไม่ให้น้ำมันไหลไปช่องของกิเลสนั้น ไม่ให้ความคิด ความสำคัญ ความเคยใจ อารมณ์ความรู้สึกไหลไปร่องนี้ ร่องที่เคยทำแล้วมันจะไหลไปเรื่อยๆ แล้วก็คิดว่าปิดไว้ได้.. ปิดไว้ไม่ได้หรอก มันเผาเราตลอดแล้ว เห็นไหม เผาเราตลอดแล้วมันจะเผาข้างนอกไป
พอปิดไม่ได้ มันเผาเราแล้วเราก็ต้องแสวงหา เราก็ต้องมาป้อนเหยื่อมัน หาสิ่งต่างๆ ที่เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่มันคิดเป็นนามธรรม แล้วก็ต้องไปหารูปธรรมจับต้องได้มาป้อนกิเลสมัน ป้อนให้มันได้กิน แล้วมันได้กินมันก็พอใจขึ้นมา แล้วก็ป้อนมันเข้าไป ป้อนมันเข้าไป แล้วถ้าเราอยู่กับพุทโธ พุทโธนี่เราไม่ป้อนมัน เราดึงมัน เอาใจนี้ไปกินพุทโธไม่ให้กิเลสมันแย่งเอาไปกิน เห็นไหม พุทโธ พุทโธ พุทโธ หักห้ามใจอยู่กับพุทโธ ถมมันให้เต็ม ถ้าถมให้เต็มมันก็เปลี่ยนแปลงกิเลสเรา เปลี่ยนแปลงกิเลสเป็นธรรม
ใช้ธรรมะ ใช้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่พุทโธมันเป็นพุทธานุสติ ตั้งสติแล้วระลึกรู้ ระลึกขึ้นมาว่าเป็นสมมุติ เป็นของสมมุติ ก็พุทโธเฉยๆ ก็ท่องเอามันก็ธรรมดา ท่องมันส่วนท่อง แต่นี้จิตมันมีกิเลส จิตที่มันไม่ยอมเป็นไป จิตมันต่อต้าน จิตมันเป็นกิเลส จิตมันจะลงไปกินแต่เรื่องของมาร
แล้วเราพุทโธ พุทโธ นี่มันเป็นสมมุติเหมือนกัน แต่มันเป็นพุทธานุสติ มันเป็นชื่อขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นศาสดาของเรา ในเมื่อเราช่วยตัวเองไม่ได้เราก็เกาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกาะพุทโธ พุทโธ พุทโธไปเรื่อยๆ เห็นไหม มันเป็นความดี ความงามขึ้นมา แต่กิเลสมันบอกว่าของเล็กน้อย ของนี้ไม่ควรทำ จะใช้ปัญญา จะใช้นิพพาน จะเป็นว่าวเชือกขาด ธรรมะว่าวเชือกขาดหัวปักดินหมดเลย รู้ไปหมด เก่งไปหมดเลย แต่พื้นฐานไม่รู้ คนมันจะเก่ง จะดีขนาดไหนมันต้องมีพื้นฐาน มันจะรู้ความจริงขึ้นมาจากพื้นฐานของมันขึ้นมา มีพื้นฐานขึ้นมาแล้วมันจะเจริญเติบโตของมันขึ้นมา นี่มันไม่มีพื้นฐานจะไปเอายอดเลย เห็นไหม จะไปเอายอด แล้วพื้นไม่มีมันก็ต้องล้มคว่ำเป็นธรรมดา
นี่เพราะเราทำของเราอย่างนั้น เราคิดว่าเราทำดี ทำดีโดยกิเลส นี่ธรรมะโดยกิเลส เห็นไหม ถ้าธรรมะโดยธรรมมันจะอ่อนน้อมถ่อมตน เห็นพื้นฐาน เห็นสิ่งนี้เป็นประโยชน์ขึ้นมา แล้วสร้างมันขึ้นมา แต่งมันขึ้นมา ตกแต่งว่าเป็นสมมุติก็เป็นสมมุติไปก่อน สมมุติเพราะเราต้องมีสติแล้วมันจะเป็นวิมุตติไปเอง.. เป็นวิมุตติไปเองเป็นไปโดยกิเลสหรือ?
นี่ไงเป็นวิมุตติไปเองก็จะไปเอาเอง มันเป็นวิมุตติไปเองด้วยความเพียรชอบ มันเป็นวิมุตติเพราะความเพียร ความวิริยะอุตสาหะ มันเป็นการกระทำของมัน แล้วเรารู้จริงขึ้นมา มันสมุจเฉทปหาน มันขาดเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา มันรู้จริงของมันขึ้นมานะ
นี่สิ่งที่เป็นโทษ สิ่งที่เป็นคุณ.. สิ่งที่เป็นโทษคือเป็นกิเลสที่มันเอาแต่สะดวกสบาย เอาแต่เหยียบย่ำตัวเอง แต่ไม่รู้ว่ามันเหยียบย่ำตัวเอง ไปเห็นโทษจากข้างนอก ว่าข้างนอกทำไมเขาไม่เห็นคุณงามความดีของเรา เราทำดีขนาดนี้..
นี่เพราะกิเลสมันเหยียบย่ำหัวใจของเรา เหยียบย่ำแล้วแสดงออกมามันเป็นเรื่องความเน่าเหม็น มันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจเรายังไม่รู้ตัวเลย แต่ถ้าเป็นธรรมขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่เป็นธรรมนี่มันเป็นประโยชน์ขึ้นมาหมด ทุกอย่างมันเป็นประโยชน์ ประโยชน์กับเรา มันเป็น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน มันเป็นธรรมของเราขึ้นมา ข้างในมันเป็นธรรมขึ้นมา แสดงออกไปมันร่มเย็นไปหมดแหละ มันดีไปหมด
ธรรมะ เห็นไหม ดูสิฝนตกมา เวลาหน้าแล้งนี่ฝนตกมาทุกคนก็ชื่นใจ ทุกคนเย็นใจหมดเลย แต่พอเวลามันแห้งแล้งดินแตกระแหงใครพอใจไหม? หัวใจแตกระแหงไม่มีซักอย่าง เวลาธรรมะ นี่คุณธรรมมันตกมาในหัวใจ มันมีความชุ่มชื้นไปหมดแหละ มันต้องทำนะ สิ่งที่ทำนี่นามธรรมสำคัญมาก นามธรรมเพราะคนเราเกิดมามีหัวใจ มีความรู้สึก มันมีใจ ตัวใจนี่ตัวสำคัญ
สิ่งที่เป็นโลกมันเป็นอาชีพ สิ่งที่แสวงหามันเป็นวิชาชีพ มันเป็นการดำรงชีวิต แล้วเราเกิดเป็นมนุษย์ เรามีศรัทธาความเชื่อ เรามาบวชในพุทธศาสนา เราเป็นนักรบ รบกับตัวเอง เห็นไหม แล้วในสังคมของเรานี่บริษัท ๔ เขาก็ส่งเสริม เขาก็ดูแล เขาดูแลแล้วหน้าที่เราก็ภาวนาสิ ทำให้ได้ ทำให้จริงขึ้นมา สังคมจะได้เข้มแข็ง ธรรมะจะได้เจริญรุ่งเรือง เพราะผู้ที่มันรู้จริงขึ้นมานี่สังคมมันจะรุ่งเรืองขึ้นมา ใครจะมาชักนำสังคมไปทางที่ผิดไม่ได้ เพราะเรารู้จริง เรารู้ทันมันเข้าใจหมดเลย
สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์กับใคร? เป็นประโยชน์กับเราก่อน ประโยชน์กับเราแล้วถึงเป็นประโยชน์กับสังคม เห็นไหม นี่ประโยชน์กับเรา สิ่งนี้เป็นประโยชน์นะ นามธรรมสำคัญมาก แต่เราไปเห็นแต่รูปธรรมกัน ขวนขวายหาแต่สิ่งที่เป็นรูปธรรม รูปธรรมมันเป็นเครื่องอาศัย ร่างกายนี้เป็นเครื่องอาศัยชีวิตหนึ่งใช่ไหม? แล้วก็ต้องตายไปใช่ไหม? แล้วนามธรรมมันตายไหม? นี่ชีวิตที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ มันจะไปข้างหน้านะ แล้วก็จิตอันนี้แหละ แต่ร่างกายมันแตกต่างกันไป
ถ้าจิตอันนี้ แล้วเรารักษาให้ถึงที่สุดได้ จิตอันนี้ รู้เท่าอันนี้ แล้วมีความสุข นี่วิมุตติสุขอยู่ที่นี่ เราต้องแสวงหาของเรา เอวัง